ประเด็นร้อน

ภัยจากสารพิษ... กับชีวิตที่เลือกไม่ได้

โดย ACT โพสเมื่อ Mar 28,2018

- - สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ - -

 

โดย  :  มนตรี บุญจรัส  ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

 

ข้อมูลเมื่อปี 2557 ที่ได้สรุปสถานการณ์โรคมะเร็งในประเทศไทย พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงมากเป็นอันดับ 1 ของคนไทย

และต่อเนื่องยาวนานมากว่า 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบอีกว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ขณะที่มีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก แถมล่าสุดองค์การอนามัยโลกยังคาดว่าอีก 21 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน!!!

 

สาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็งนั้นส่วนใหญ่จะทราบกันดีว่ามาจากอาหารการกิน“กินอย่างไร... ก็จะได้สุขภาพอย่างนั้น” แต่การสวนกระแสของรัฐบาล คสช. ที่อนุญาตให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่ออายุนำเข้าสารเคมี ชนิดพาราควอท และไกลโฟเซต เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งสาร 2 ตัวนี้มีอันตรายร้ายแรง จากฤทธิ์ที่ตกค้างได้ยาวนาน ไม่ระเหยไปกับอากาศ สะสมอยู่ในน้ำและดิน ขณะที่ปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศ ประกาศเลิกใช้และห้ามนำเข้า เนื่องจากตระหนักดีว่าสารพิษที่อยู่ในยาฆ่าหญ้าจะทำร้ายประชาชน

 

การใช้สารพาราควอตและไกลโฟเสต ในประเทศไทยค่อนข้างแพร่หลาย ได้ส่งผลกระทบต่อแหล่งเพาะปลูก รวมถึงผลิตผลทางการเกษตรที่ส่งต่อเป็นอาหารเลี้ยงสำหรับการบริโภคของประชากรในประเทศ โดยอาหารที่เสิร์ฟบนโต๊ะอาหารจะมีสารพิษเหล่านี้ตกค้างปนเปื้อนด้วย ทำให้สารพิษเหล่านี้แพร่กระจายไปสู่ลูกหลานของเราโดยไม่ตั้งใจ 

 

เมื่อไม่นานมานี้ มีการตรวจพบผลิตภัณฑ์น้ำดื่มปนเปื้อนสารเคมีจากยาฆ่าหญ้า ที่จ.ลำปาง เพราะแหล่งน้ำดิบที่นำมาผลิตน้ำดื่มอยู่ในพื้นที่เพาะปลูกที่มีการใช้ฆ่าหญ้า ซึ่งการได้รับสารพิษเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดโรคพิการทางสมองหรือปัญญาอ่อน หากเป็นเด็ก ก็จะทำให้มีพัฒนาการช้าลง ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง สะเก็ดเงิน สะเก็ดทอง อัมพฤต อัมพาต โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ

 

การที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการนำเข้าสารเคมี 2 ชนิดนี้ นอกจากการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ประชาชนคนไทยยังได้รับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จากการรับประทานผักผลไม้ที่มีการปนเปื้อนของสารพิษที่สะสมอยู่ในดิน เทือกเขา แหล่งน้ำ ลำธารต่างๆ ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกทางการเกษตรทั่วไป เนื่องเกษตรกรส่วนใหญ่นำไปใช้ยังป่าต้นน้ำ เช่น จ.ตาก (อ. แม่สอด, อ. พบพระ) จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.แพร่ จ.น่าน จ.เพชรบูรณ์ (อ. หล่มสัก, อ. หล่มเก่า)

 

พิษจากพาราควอตและไกลโฟเสตนั้น เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะไม่สามารถล้างท้องได้ พิษของสารเคมีจะเข้าไปบั่นทอน ทำลายอวัยวะภายในจนได้รับความเสียหาย จนอาจไม่มีโอกาสเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที เมื่อตกสู่ผืนดินก็ทำให้ดินด้อยคุณภาพ เสื่อมโทรมจากสารเคมีที่ตกค้าง เมื่อแพร่กระจายสู่ผืนน้ำก็ทำร้ายสิ่งมีชีวิต ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์น้ำต่างๆ อาจกลายพันธุ์ สูญพันธุ์ จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติล้มตาย ส่งผลต่อระบบนิเวศ

 

แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด รัฐบาลในนามของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงตัดสินใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้มีการต่ออายุและอนุญาตนำเข้าสารเคมีชนิดนี้กลับมาอีกได้ ทั้งๆ ที่ภาระงบประมาณการดูแลรักษาผู้ป่วยประชาชนคนไทยก็ไม่เพียงพอ แต่ละโรงพยาบาลต่างก็แบกรับต่อค่าใช้จ่ายกันอย่างหมิ่นเหม่  เกิดข้อถกเถียงกันในระบบสาธารณสุข จนต้องลำบากพี่ตูน บอดี้แสลมด์ ออกมาวิ่งหาเงินบริจาคช่วยเหลือซื้อเครื่องมือแพทย์แจกไปแต่ละโรงพยาบาล  หรือแม้แต่การเรียกร้องจากกลุ่มผู้คุ้มครองผู้บริโภค มูลนิธีชีววิถี กลุ่มต่อต้านการใช้สารเคมี จะนำเสนอข้อมูลและงานวิจัยเพื่อสื่อให้เห็นถึงโทษภัยและอันตราย แต่สารพิษเหล่านี้ก็ยังสามารถกลับเข้ามาใช้ได้เหมือนปกติ

 

จะว่าไป ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก กลับกัน!!! เรามีก็ทางเลือกเยอะแยะมากมาย ที่สามารถจะเลือกพบกับสิ่งที่ดีๆ ไม่ใช้สารพิษ ไม่ใช้สิ่งที่เป็นอันตราย แต่รัฐบาลกลับบังคับให้เราต้องเลือกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษของ “ไกลโฟเซท” และ “พาราควอท” ที่หลายประเทศไม่ต้องการ ฤานี่!!! คือชะตากรรมที่คนไทยต้องเจอ “ไม่มีสิทธิ์เลือก” แม้แต่การทำให้ลูกหลานและตนเองปลอดภัย

 

 
 

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

#ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

 

Follow LINE: http://bit.ly/2luX9Dt
Follow Facebook: http://bit.ly/2z1Dxvw